แต่งงานกันไปแล้วนี่คนรู้กันทั้งซอย....
ก็ได้เวลาหอบผ้าไปอยู่บ้านผู้ชายได้แล้วล่ะเว้ยเฮ้ย...
ตอนหิ้วชะลอมมาอยู่บ้านเขาก็ไม่ได้มีใครมาเปิดเพลง...
..นี่คือสถานแห่งบ้านทรายทอง ที่ฉันปองมาอยู่....
คือเขาจะต้อนรับไม่ต้อนรับก็ไม่ได้แคร์สิ่งใดล่ะ
ต่อให้เคยอยู่ด้วยกัน หรือเคยนอนด้วยกัน
แต่จะไม่มีวันที่รู้สึกเหมือนวันแรกที่ตื่นมาบนเตียงเดียวกับสามีที่ผ่านพิธีมงคลสมรส...
...ไม่เชื่ออย่าลบหลู่....อยากรู้ต้องลอง...
เพราะคืนก่อนนอนต้องเก็บข้าวตอกดอกไม้ เงิน
ที่แม่พี่ฉัตรมาทำพิธีให้บนเตียงที่จะนอนจริงๆ
เก็บใส่ห่อผ้าขาว วางไว้บนหลังตู้
มันขลังอย่างบอกไม่ถูก
แต่งงานแล้วชีวิตเปลี่ยน
...ต้องตื่นแต่เช้าหุงหาอาหาร...
...ต้องรีบกลับบ้านมากิินข้าวเย็นพร้อมหน้า....
...ต้องลดละเลิกการปาร์ตี้...
ไม่ใช่ซักกะต้องที่กล่าวมา
มันแอ็บ'แต่ก (=นามธรรม) กว่านั้น
มันคืออะไรก็บอกไม่ถูกเหมือนกัน
เรื่องของเรื่องคือเราไม่ได้แต่งงานกับผู้ชายคนหนึ่ง
แต่เราแต่งกับครอบครัวของเขา
เราแต่งกับเพื่อนของเขา
เราแต่งกับนิสัย กิจวัตร ความคิดและค่านิยมของเขา
แล้วจะปรับตัวเอง หรือเปลี่ยนเขาดีล่ะ
ในความเป็นจริงจะปรับหรือเปลี่ยนก็ยากทั้งนั้นแหละ
และไม่มีวันจะเป็นไปได้อย่างที่เราตั้งใจไว้แน่นอน
หวนนึกถึงคำที่แม่สอนไว้...ยอมรับ...
เกิดมาก็ตั้งหลายปีปรับตัวเองก็ลำบาก ไอ้จะเปลี่ยนคนอื่น..ไม่มีทาง
ทางที่ดีเราควรจะยอมรับในสิ่งที่เขาเป็น ถ้ารับไม่ได้แสดงว่า
...คนนี้ไม่ใช่ หาใหม่ดีกว่า...
มันง่ายขนาดนั้นเลยจริงๆ...
ถึงตรงนี้หลายคนอาจบอกว่า..ก็มันเพิ่งลายออกตอนแต่งไปแล้ว....
ซึ่งก็ถูก อะไรๆ มันจะมีแต่แย่ลง ก่อนแต่งน่ะมันดีที่สุดแล้ว ขอบอก
แล้วจะยังไงล่ะ...
ก็ตัดสินว่ายอมรับมันได้หรือเปล่า
ปล่อยมันไปได้หรือเปล่า
คุ้มกับสิ่งที่ได้ถ้าอยู่ด้วยกันต่อไปหรือเปล่า...
ถ้ายอมรับได้ก็อยู่ ถ้ายอมรับไม่ได้ก็พอเหอะ...มันง่ายขนาดนั้นจริงๆ...
ย้อนกลับมาสู่จุดเริ่มต้น...
ฝนชอบผู้ชายเหมือนแม่คืออะไรก็ได้แต่อย่าเจ้าชู้
แม่ก็โชคดีได้เจอกับพ่อ ที่อยู่กันจนตายไปข้าง
ฝนอยากโชคดีแบบแม่
แม่เคยอวยพรให้ฝนพบกับผู้ชายที่มีน้ำใจ
พ่อเคยอวยพรให้ฝนเจอเนื้อคู่ที่ดี
...ในวันแต่งงาน ฝนพบว่าพรของพ่อแม่ศักดิ์สิทธิ์เสมอ และฝนเป็นผู้หญิงที่โชคดี...
จากวันนั้นถึงวันนี้...
สองคำที่เป็นคำสำคัุญของเราคือ ยอมรับและอภัย...
โลกภายนอกมันยากและวุ่นวายมากพออยู่แล้ว
จะต้องอดทนปรับและเปลี่ยนตัวเองไปเพื่อ?