12 พ.ย. 2565

แต่ละปีที่ผ่าน : 8 ปีที่ผ่าน "จะปรับหรือจะเปลี่ยน?"

แต่งงานกันไปแล้วนี่คนรู้กันทั้งซอย....

ก็ได้เวลาหอบผ้าไปอยู่บ้านผู้ชายได้แล้วล่ะเว้ยเฮ้ย...

ตอนหิ้วชะลอมมาอยู่บ้านเขาก็ไม่ได้มีใครมาเปิดเพลง...

..นี่คือสถานแห่งบ้านทรายทอง ที่ฉันปองมาอยู่....

คือเขาจะต้อนรับไม่ต้อนรับก็ไม่ได้แคร์สิ่งใดล่ะ

 

ต่อให้เคยอยู่ด้วยกัน หรือเคยนอนด้วยกัน

แต่จะไม่มีวันที่รู้สึกเหมือนวันแรกที่ตื่นมาบนเตียงเดียวกับสามีที่ผ่านพิธีมงคลสมรส...

...ไม่เชื่ออย่าลบหลู่....อยากรู้ต้องลอง...

 

เพราะคืนก่อนนอนต้องเก็บข้าวตอกดอกไม้ เงิน

ที่แม่พี่ฉัตรมาทำพิธีให้บนเตียงที่จะนอนจริงๆ

เก็บใส่ห่อผ้าขาว วางไว้บนหลังตู้

มันขลังอย่างบอกไม่ถูก

แต่งงานแล้วชีวิตเปลี่ยน

...ต้องตื่นแต่เช้าหุงหาอาหาร...

...ต้องรีบกลับบ้านมากิินข้าวเย็นพร้อมหน้า....

...ต้องลดละเลิกการปาร์ตี้...

 

ไม่ใช่ซักกะต้องที่กล่าวมา

มันแอ็บ'แต่ก (=นามธรรม) กว่านั้น

มันคืออะไรก็บอกไม่ถูกเหมือนกัน

 

เรื่องของเรื่องคือเราไม่ได้แต่งงานกับผู้ชายคนหนึ่ง

แต่เราแต่งกับครอบครัวของเขา

เราแต่งกับเพื่อนของเขา

เราแต่งกับนิสัย กิจวัตร ความคิดและค่านิยมของเขา

 

แล้วจะปรับตัวเอง หรือเปลี่ยนเขาดีล่ะ

ในความเป็นจริงจะปรับหรือเปลี่ยนก็ยากทั้งนั้นแหละ

และไม่มีวันจะเป็นไปได้อย่างที่เราตั้งใจไว้แน่นอน

 

หวนนึกถึงคำที่แม่สอนไว้...ยอมรับ...

เกิดมาก็ตั้งหลายปีปรับตัวเองก็ลำบาก ไอ้จะเปลี่ยนคนอื่น..ไม่มีทาง

ทางที่ดีเราควรจะยอมรับในสิ่งที่เขาเป็น ถ้ารับไม่ได้แสดงว่า

...คนนี้ไม่ใช่ หาใหม่ดีกว่า...

มันง่ายขนาดนั้นเลยจริงๆ...

ถึงตรงนี้หลายคนอาจบอกว่า..ก็มันเพิ่งลายออกตอนแต่งไปแล้ว....

ซึ่งก็ถูก อะไรๆ มันจะมีแต่แย่ลง ก่อนแต่งน่ะมันดีที่สุดแล้ว ขอบอก

แล้วจะยังไงล่ะ...

ก็ตัดสินว่ายอมรับมันได้หรือเปล่า

ปล่อยมันไปได้หรือเปล่า

คุ้มกับสิ่งที่ได้ถ้าอยู่ด้วยกันต่อไปหรือเปล่า...

ถ้ายอมรับได้ก็อยู่ ถ้ายอมรับไม่ได้ก็พอเหอะ...มันง่ายขนาดนั้นจริงๆ...

 

ย้อนกลับมาสู่จุดเริ่มต้น...

ฝนชอบผู้ชายเหมือนแม่คืออะไรก็ได้แต่อย่าเจ้าชู้

แม่ก็โชคดีได้เจอกับพ่อ ที่อยู่กันจนตายไปข้าง

ฝนอยากโชคดีแบบแม่

แม่เคยอวยพรให้ฝนพบกับผู้ชายที่มีน้ำใจ

พ่อเคยอวยพรให้ฝนเจอเนื้อคู่ที่ดี

...ในวันแต่งงาน ฝนพบว่าพรของพ่อแม่ศักดิ์สิทธิ์เสมอ และฝนเป็นผู้หญิงที่โชคดี...

 

จากวันนั้นถึงวันนี้...

สองคำที่เป็นคำสำคัุญของเราคือ ยอมรับและอภัย...

 

โลกภายนอกมันยากและวุ่นวายมากพออยู่แล้ว

จะต้องอดทนปรับและเปลี่ยนตัวเองไปเพื่อ?

แต่ละปีที่ผ่าน : 8 ปีที่ผ่าน "มองหน้าต่างข้างบ้าน"

 ใกล้ถึงวันครบรอบแต่งงานแล้ว ก็อยากจะึนึกย้อนกลับไปถึงช่วงเวลานั้น...

8 ปี 6 เดือนที่แล้ว...

เอาล่ะจะต้องแต่งงานแล้วล่ะ ก็ต้องเตรียมงานสิ...

สองสิ่งที่ต้องตัดสินใจกันเองก็คือ...

ของชำร่วยและชุดแต่งงาน นอกนั้นไม่ยาก พ่ออยากได้อะไรก็จัดไป เพราะงานแต่งงานไม่ใช่ของเรา....

งั้นหาฤกษ์...ไม่ต้องรบกวนพระคุณเจ้าที่ไหน

พ่อขอให้เป็นเดือนพฤศจิกายน เพราะพ่อกับแม่แต่งเดือนนี้

แล้ววันล่ะแม่พี่ฉัตรก็เปิดปฏิทินดู เอาวันที่ 16 ก็แล้วกันเพราะเป็นวันข้างขึ้น ที่๋โชคดีคือเป็นวันเสาร์ด้วย....

 

สถานที่ก็ไม่ต้องคิดเยอะ

พ่อบอกอยากให้ไปที่ร.พ.สงฆ์ตอนเช้าเพราะพ่อกับแม่แต่งงานที่นั่น....น่ารักที่สุด

เย็นก็รร. มารวยละกันใกล้บ้าน...

ขั้นตอนรูปแบบล่ะ

พ่อให้หลักการว่า  "งานแต่งงานขอให้ราบรื่น แล้วชีวิตแต่งงานก็จะราบรื่น"

 

งานแต่งของเราก็ราบรื่น smooth as silk

ไม่น่าเชื่อ..ชีวิตแต่งงานเราก็ราบรื่นจริงๆ

 

ชุดเหรอก็วนหาหลายร้านเหมือนกันแ้ล้วมาถูกในร้าน ฐปณ แถวลาดพร้าว

ชุดเช้าก็ไม่โป๊ ไม่ปิดมาก ชุดเย็นก็ปิดหมด

ถูกใจ..ที่ไม่ต้องไปขัดตัว หาเครื่องประดับมาให้เยอะอย่าง

....smooth as silk.....

 

ช่างแต่งหน้าก็ตั้งใจหานะแต่ขอไม่แพงและแต่งเฉพาะตอนเย็นเพราะว่า...

ขี้เกียจตื่นมาแต่งหน้าตอนตีสามตีสี่อ่ะ...

 เตรียมงานเสร็จแล้ว...

ถึงวันงาน...

พิธีเช้าเราก็จัดกันที่บ้าน เต็มไปด้วยญาติสนิทมิตรสหาย ม่วนซื่นกันไป

ตามประสาเจ้าสาวที่ตื่นสาย เจ้าบ่าวจะมาอยู่แล้วยังไม่ตื่นเลย

น้าสาวต้องมาปลุก ตื่นขึ้นมาล้างหน้าแปรงฟันแต่งตัวเร็วไว ไม่ถึงครึ่งชั่วโมงสวยเสร็จด้วยตัวคนเดียวไม่ต้องพึ่งช่างกันล่ะ

เสร็จแล้วก็ยกขบวนไปที่ร.พ. สงฆ์เลี้ยงพระและพิธีหลั่งน้ำสังข์

พอตอนหลั่งน้ำสังข์เรียบร้อยแล้ว พ่อก็เป็นคนถอดมงคลให้แล้วมัดติดกันให้แน่น เราจะได้แนบแน่นอยู่คน

พ่อก็ตั้งใจมัดแน่นมาก จนมือเีขียวเลย...

ไม่น่าเชื่อ..เราก็แนบแน่นกันอย่างนั้นจริงๆ

ทุกวันนี้มงคลที่พ่อมัดไว้วันนั้นยังอยู่ในห้องนอน

ก่อนเที่ยงก็เป็นอันเรียบร้อย

แล้วก็ยกขบวนกันไปส่งตัวที่ รร. เลยส่งกันสองรอบ เพราะเราตามใจญาติผู้ใหญ่ทุกท่าน...

พิธีส่งตัวก็น่ารักเขาจะให้ญาติผู้ใหญ่จูงเราขึ้นเตียงแล้วก็ให้ทำเป็นนอนหลับ เสร็จแล้วก็มีเสียงไก่ขันเอ้ก อี๊ เอ๊ก เอ้ก แบบว่าเช้าแล้ว

แล้วคุณเมียต้องตื่นก่อนคุณผัวนะคะ...

น้าสาวก็มาอบรมและให้พร ตอนนี้ต้องร้องไห้กันหน่อยเพราะคิดถึงแม่เหลือเกิน

 

ส่งตัวเสร็จแล้วอ่ะเหรอก็ต้อง.....

นอนดิ เมื่อเช้าตื่นเ้ช้ากว่าปกติก็ต้องง่วงเป็นธรรมดา

 

ตื่นมาบ่ายๆ กินข้าว ช่างแต่งหน้ามาพอดี เอาเริ่มแต่งหน้ากันเลย

ผ่านไปสามสิบนาทีไม่ถึงดี อ๊าวเสร็จแล้ว

เฮ้ย ไม่คุ้มเงินเลย แต่ก็ชอบนะ เรียบๆ ไม่เยอะอย่างดี

 

ในงานเราก็ไม่ยุ่งเลย ยืนเฉยๆ  เพราะเพื่อนๆ ช่วยกันยุ่งแทนไปหมดแล้ว

ตอนในงานพ่อบอกว่า "ฝนให้จำวันนี้ให้ดี แขกมากันเยอะมากทั้งๆที่รถติด ไม่ว่าวันข้างหน้าจะเกิดอะไรขึ้นให้คิดถึงคนที่มาร่วมยินดีกับเราวันนี้"

และฝนก็จำได้ไม่ลืม เหมือนผ่านมาเมื่อวาน...

ไม่ลืมว่าญาติๆ น่ารักแค่ไหนเหนื่อยกันแค่ไหน

ไม่ลืิมว่าเพื่อนๆ น่ารักยังไง มากันเยอะมาก

และไม่ลืมว่าแขกทั้งสองฝั่งมากันอย่างมากมาย

...ไม่ใช่บารมีของบ่าวสาว...

แต่เป็นบารมีของพ่อแม่เราสองคน

ไม่ลืมจริงๆค่ะ

แต่ละปีที่ผ่าน : ปีที่ 9 "กับดัก"

 แหม! เหมือนเพิ่งเขียนเรื่อง "8ปีที่ผ่าน" ไปเมื่อวาน 

เวลาช่างผ่านไปเร็วเหมือนตีนกาที่ปรากฏบนหน้าเสียเหลือเกิน

 

ปีที่ 9...

 

เมื่อตอนแต่งงานได้ปีที่ 2 เจอผู้ใหญ่ชาวต่างชาติท่านหนึ่ง

อายุเธอก็ 70 กว่าแล้ว...

เธอบอกว่าแต่งงานมาแล้ว 40 กว่าปี

เรายังถามเธอว่า....

นึกไม่ออกว่ามีเรื่องอะไรจะคุยกันเมื่ออยู่ด้วยกันนานๆ

ไม่ต้อง 40 ปีหรอกแค่ 10 ปีก็ไม่มีอะไรจะคุยแล้ว...

เธอตอบว่าก็คุยกันเรื่องลูก เรื่องบ้าน และสารพัดเรื่องตามสถานการณ์ประจำวันนั้นแหละ

ตอนนั้นนึกภาพไม่ออก...

สมัยเป็นเด็ก จำได้ว่าต้องแอบโทรศัพท์คุยกัน

คุยมันทุกวัน วันละ 2 ชั่วโมง

ไม่มีเบื่อ....

 

ตอนนี้ก่อนหลับตานอนก็เห็นหน้า ลืมตาตื่นมาก็เจอ

กินข้าวเย็นพร้อมกัน กินกาแฟตอนเช้าด้วยกัน

แล้วจะเอาอาร๊ายมาคุย.....หืม......

 

ตอนปีที่ 8 เราว่าเราเข้าใจกัน ไม่ต้องพูดก็รู้ใจ

รับได้ และให้อภัยเสมอ

 

ปีที่ 9 นี้...

มันเปลี่ยนไปเล็กน้อย

เพราะเราเข้าใจกันโดยไม่ต้องพูดกัน....

มันทำให้บทสนทนาของสองเราสั้นลง...

บางครั้งพูดกันคนละเรื่องแต่ยังคุยกันอยู่ยกตัวอย่างเช่น

เมีย "เค้าอยากได้ naked มากเลยอะ ลองใช้ของเพื่อนแล้วดี๊ ดี"

ผัว "เมื่อคืนงงมาก เกล็น จอห์นสัน เสือกเตะเข้าเฉยเลย"

เมีย "ว่าจะซื้อจากเว็บแหละ ทาแล้วติดทนนานมากเลย"

ผัว "ลูกแรกนี่ ซัวเรส"

เมีย "....."

ผัว "...."

เมีย "กินข้าวกับไรดีเย็นนี้"

ผัว "หมูกระเทียม"

เรา "......"

เพราะการที่เราคิดว่าเราเข้าใจกัน...

ทำให้เราสื่อสารกันน้อยลง...

เลยทำให้เราไม่เข้าใจกัน...

 

ทำไมเรากลายเป็นไม่เข้าใจกันไปได้ เพราะเคยแค่มองตาก็รู้ใจ

ชีวิตประจำวันทำอะไรบ้างเรารู้กัน

 

นั่งคิดมาหลายวัน...

ได้คำตอบมาหนึ่งอย่างว่าเราและเขาในวันนี้ไม่ใช่เราและเขาคนเมื่อวาน

เวลาหมุนไปเรื่อยๆ คนเราก็เปลี่ยนไปทีละนิด

จากที่รักกันมากขึ้น เข้าใจกันมากขึ้น ผูกพันกันมากขึ้น

แต่สื่อสารกันน้อยลง

มันคือ..

...กับดัก ชีวิตคู่.....

ที่สองเราเกือบตกลงไปแล้วสิ

แต่ละปีที่ผ่าน : ปีที่ 10 "3,650 วัน"

 จะถึงวันครบรอบแต่งงานปีที่ 10 หรือ 3,650 วัน

3,650 วัน ที่เดินทางมาด้วยกัน

เหมือนเราเดินบนทางที่สร้างด้วยก้อนอิฐ 7,300 ก้อน

เหมือนเราก็ต่างมีอิฐตัวหนอนคนละ 3,650 ก้อน 

ค่อยๆ วางอิฐคนละก้อน ทีละก้อน ในแต่ละวัน...

วางเคียงข้างกันเป็นทางเดินที่เราค่อยๆ เดินข้างกันไป

เมื่อครบรอบ 10 ปี เราก็มีทางเดินที่สร้างด้วยอิฐ 7,300 ก้อน 

เมื่อถึงวันนี้เราหยุด แล้วหันกลับไปมองทางเดินที่เราสร้าง

และได้เดินเคียงข้างกันมา

...เราจับมือกัน มองหน้ากัน แล้วอมยิ้ม....

มันไม่ได้ราบเรียบสวยงาม

..บางช่วงมันกระเดิดขึ้น...

..บางช่วงบิดเบี้ยว คดเคี้ยว...

...บางช่วงเป็นร่อง เป็นหลุม เพราะอิฐประกบกันไม่สนิท...

...บางครั้งเราก็พากันสร้างเป็นวงเวียน วนไปวนมา...

...เราจับมือกัน มองหน้ากัน แล้วยิ้ม...

ถึงแม้มันจะไม่ราบเรียบ สวยงาม มันมีจุดขาดๆ เกินๆ

แต่มันก็เป็นทางเดินที่สร้างด้วยก้อนอิฐ 7,300 ก้อน 

..เคียงข้างกัน ทอดยาวจากวันแรกจนวันนี้...

วันนี้ วันที่เรามาถึงตรงนี้

เราจับมือกัน นั่งพักข้างกัน ทบทวนทางเดินที่เราร่วมสร้างกันมา

..ทางที่วางอิฐวันละก้อน คนละก้อน...

บางวัน เราคนใดคนหนึ่งเหนื่อยจนเกินกว่าจะวางอิฐ 

ท้อจนกว่าจะก้าวขาเดิน

แต่จะมีอีกคนหนึ่งเสมอที่คอยช่วยเราจับมือประคองวางอิฐ

แล้วฉุดให้เราเดินหน้าต่อไป

บางวันเราก็สะดุด ล้มลงบนทางที่เราสร้างไม่เรียบร้อย

เราก็จับมือกัน มองหน้ากัน เช็ดน้ำตาให้กัน

แล้วช่วยกันพยุงลุกขึ้นสร้างทาง และเดินด้วยกันต่อไป

..เราจับมือกัน มองไปข้างหน้า พรุ่งนี้เราจะวางก้อนอิฐกันอีกคนละก้อน..

และแน่นอนมันจะวางเคียงข้างกัน แล้วเราจะก้าวเดินไปบนทางนั้นด้วยกัน

..แต่ว่าไม่มีทางรู้เลยว่า เราเหลืออิฐอีกคนละกี่ก้อน...

เหลืออีกกี่วันที่เราจะวางอิฐร่วมสร้างทางแล้วเดินไปข้างกัน

..ถ้าวันนั้นมาถึง วันที่อิฐของใครคนใดหมดลง...

คนที่เหลือก็จะยังมีอิฐไว้สร้างทาง แล้วมุ่งหน้าเดินต่อไปบนเส้นทาง

เพียงแต่ว่าเส้นทางนั้นคงจะเงียบเหงา และแคบลง จนเราต้องเดินอย่างระวัง

เพราะจะไม่มีคนคอยช่วยระวัง ไม่มีคนช่วยพยุง ไม่มีคนมาเดินข้างกัน

...วันนี้เราจับมือกัน มองหน้ากัน หัวเราะให้กัน....

เราให้คำมั่นสัญญาที่ไร้เสียง แต่ได้ยินด้วยใจ

..ว่าเราจะวางอิฐสร้างทางคู่กัน มุ่งหน้าเดินเคียงข้างกัน...

...จนกว่าอิฐของใครคนใดจะหมดลง..





แต่ละปีที่ผ่าน : ปีที่ 11 "รักคืออะไร"

 ....จงมอบดวงใจ แต่มิใช่ต่ออีกฝ่ายหนึ่ง

 

เพราะหัตถ์แห่งชีวิตอมตะเท่านั้นที่จะรับดวงใจของเธอไว้ได้....

 

...และจงยืนอยู่ด้วยกัน แต่อย่าใกล้กันนัก

 

เพราะว่าเสาของวิหารนั้นก็ยืนอยู่ห่างกัน

 

และต้นโพธิ์ ต้นไทรก็ไม่อาจเติบโตใต้ร่มเงาของกันได้...

 

กลับมาที่คำถามแรก...เราจะหมดรักกันมั้ย...

คำตอบคือ.....หากรักเราเหมือนห้วงสมุทร อันเคลื่อนไหวอยู่ระหว่างฝั่งวิญญานของเราแล้วนั้น

แน่นอนรักเราคงไม่อาจหมดในเร็ววันเพราะน้ำในมหาสมุทรมีแต่จะสูงขึ้นสูงขึ้น....เพราะโลกร้อน


แต่ละปีที่ผ่าน : 12 ปีที่ผ่าน "รักแท้แพ้ระยะทาง?"

 นี่แต่งงานมา 12 ปีแล้ว ครบรอบปีนักษัตร ชวด ฉลู ขาล เถาะ จนถึง จอ กุล ผ่านมาครบแล้ว

ผ่านปีชง ปีเชง ผ่านการทะเลาะและการให้อภัย 

ผ่านวันดีคืนร้ายมาแล้วหนักบ้างเบาบ้างก็ประคองกันไป

 

แต่ปีนี้ ปีที่ 12 มันยากเหลือเกิน...

บททดสอบที่เรารู้ดีอยู่ว่าจะต้องเกิดขึ้น ไม่ช้าก็เร็ว 

เราต่างมีหน้าที่ที่ยินดีและเต็มใจทำอย่างยิ่ง

เพราะเราทั้งสองคนต่างต้องทำหน้าที่ ที่ทำให้เราต้องแยกจากกัน แบบชั่วคราว

 

ปีก่อนหน้านี้เป็นการซ้อมใหญ่

ปีนี้แสดงจริง เราไม่ได้อยู่ด้วยกัน สองสามเดือนเจอกันที

 

อีตอนปีซ้อมใหญ่มันง่ายเหลือเกิน เรามั่นใจว่ารักกัน และเราผ่านมันมาได้อย่างชิวๆ


แต่ปีนี้สิคุณ แยกจริง ไม่ใช้สลิง ไม่ใช้ตัวแสดงแทน

 

วันก่อนออกเดินทางไปส่งพี่ฉัตรที่หนองคายนี่แบบเพลงมาเลยค่ะ

 

.......อยากจะร้องไห้ อยากให้เวลาเดินช้าๆ....

.......ขอเวลาสักหน่อยอยากมองหน้ากัน

.......อยากหยุดวันเวลานี้ไว้นานเท่านาน ก่อนจะต้องไปปปปปปป.....

 

โศกฉิบหาย...ขออภัยที่ต้องใช้คำหยาบคาย แต่มันจริง มันจริง มากๆ 

 

แต่เมื่อมันเกิดขึ้นแล้วไอ้เราก็ไม่ใช่แม่นากจะยืนตากยุงรอผัวที่ท่าน้ำทุกวัน

มันก็ไม่ใช่มะ แต่คาดว่าอารมณ์แบบเดียวกับแม่นากมาเต็มจ้ะ

 อารมณ์แม่นากตอนนั้นชีคงแบบทั้งกลัว ทั้งเศร้า เหงา และคิดถึง

เสาวภาพก็จัดมาเต็มแบบ ซึ่งรวมๆแล้วขอเรียกว่า

...ความทุกข์ที่เกิดจากการพลัดพรากจากคนรัก....

 

เมื่อเราทุกข์ แน่นอน คุณขา

เมื่อเราร้องไห้และโพสต์เพลงฤดูที่ฉันเหงาของฟลัวบนเฟสบุ๊ค เรียบร้อยแล้ว

เราจะมีกลไกหนึ่งที่ใช้จัดการกับความทุกข์ที่เกิดจากการพลัดพรากนั้น

 

มันมีชื่อว่า...การปรับตัวให้อยู่คนเดียวได้....

 

ต้องปรับตัวให้นอนคนเดียวให้หลับ ปรับตัวให้ไม่กลัวเวลาอยู่คนเดียว

ปรับตัวให้ตื่นมาชงกาแฟกินเอง เปิดประตูบ้านเอง กินข้าวเย็นคนเดียว

หากิจกรรมสารพัดสิ่งมาถมเวลาให้หมดไป

 เพื่อนและครอบครัวช่วยได้มั้ย...

ขอสารภาพตรงๆหวังว่าเพื่อนจะไม่โกรธ....

มันช่วยได้บ้างแต่ไม่หมด....

 

โทรศัพท์ line กันได้มั้ย...

ได้แต่ไม่เหมือน...

เราจำเขาได้ในแบบไหน จำเสียง จำรูป จำกลิ่น จำสัมผัส จำอารมณ์ที่เกิดขึ้นระหว่างกัน

เราจะคิดถึงเขาแบบนั้น เสียงและรูปไม่พอ...

 

อย่างไรก็ดี มนุษย์เรานี่เก่ง เพื่อให้อยู่รอดได้ วันนึงเราปรับตัวได้...

...ปรับตัวให้อยู่คนเดียวได้...

เมื่อปรับได้...ก็ลดความทุกข์ที่เกิดจากการพลัดพราก...สินะ

...ใช่ ตอนนี้ไม่กลัว ไม่เศร้า ไม่เหงา...

...และไม่คิดถึง.....

 

ตอนแรกฝนก็คิดว่าหมดปัญหาละกู...

แต่เมื่อทุกคนอ่านมาถึงตรงนี้เริ่มเห็นปัญหาใหม่แล้วใช่มั้ย?

 

...ไม่คิดถึง...

 

มันคือจุดเริ่มต้นของการแยกแบบถาวร

การไม่คิดถึง การชินกับการอยู่คนเดียว 

ทำให้เกิดปัญหาน้อยๆ ซึ่งจะรวมตัวเป็นปัญหามากๆ และผนวกกันเป็นปัญหาใหญ่โคตรๆ

ที่ตอนนั้นเราหาสาเหตุกันไม่เจอ ว่าทะเลาะอะไรกันทุกวันวะ

จนเกือบไม่ได้ฉลองครบรอบ 12 ปี

แต่โชคดีเหลือเกินที่มีผู้ชี้ประเด็นให้เห็นว่า


"ความเหงาไม่น่ากลัวเท่ากับการไม่คิดถึง

ความชินชากับการอยู่คนเดียวน่ากลัวกว่าการอยู่คนเดียว"

 

ปีที่ 13 ของการแต่งงานเรายังคงต้องแยกกันอยู่ต่อไป

รักแท้จะแพ้ระยะทางหรือไม่..

จะมีเรื่องอะไรมาเป็นบททดสอบหรือไม่...

โปรดติดตาม...


แต่ละปีที่ผ่าน: ปีที่ 22 "เราและเครื่องดื่ม"

  22 ปีที่ผ่าน: เราและเครื่องดื่ม เชียนบันทึกในวันครบรอบแต่งงานมาตั้งแต่ปีที่ 8 ปีนี้ ก็ปาเข้าไปปีที่ 22 แล้ว หมายความว่าเขียนมา 14 ปี ก็มีบ...